ข่าวนี้เป็นข่าวที่ผมชอบมากที่สุด และชอบจริงๆ

เป็นข่าวที่ผมเสนอประเด็นให้กับพี่หลิน ในช่วงที่กำลังจะเปิดเทอม ชุดนักเรียนกำลังอยู่ในกระแส
เป็นข่าวที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่ได้ทำข่าวมาตั้งแต่ต้น รู้สึกว่ามีคุณค่าสำหรับผมมากที่สุด...
เพราะแต่ละข่าวที่เคยได้ทำ มีแต่ข่าวบริษัทนู้นนี้โตเท่านู้นเท่านี้ แพลนจะออกโปรเจ็คดูดตังคนอย่างนู้นอย่างนี้
วางโครงการจะแข่งกันอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ข่าวนี้เป็นการสะท้อนร้านขายปลีกชุดนักเรียนที่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร
ก็แพ้ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างเทสโก้โลตัส บิ๊กซี ฯลฯ วันยันค่ำ เพราะไอ้ห้างพวกนี้มันรู้ว่าร้านค้าปลีกขายเท่าไหร่
มันลดราคาลงมานิดหน่อยให้ถูกกว่า แล้วโหมโฆษณาว่า "ถูก" ทั้งที่จริงมันก็ถูกกว่าห้าบาทสิบบาท
แต่ได้เปรียบเรื่องสถานที่และสาขาที่มีอยู่มาก ทำให้พวกร้านค้าปลีกย่อยๆ ไม่มีทางสู้ ปิดประตูตายอย่างเดียว

ร้านชุดนักเรียนตราสมอที่สะพานใหม่ เจ้าของถึงกับโอดครวญว่า ยอดขายตกต่ำลงทุกวัน
แถมทุกวันนี้น้ำมันก็แพง ค่าครองชีพก็ขึ้น แต่ว่าขึ้นราคาชุดนักเรียนไม่ได้
เพราะเป็นสินค้าที่กระทรวงพาณิชย์ควบคุม
แถมเจอไอ้พวกห้างค้าปลีกขนาดใหญ่พวกนี้ เล่นเกมกลยุทธ์ราคาเข้าให้อีก

แล้วค่านิยมคนสมัยนี้ที่ชอบเดินห้างไม่ชอบซื้อของตามตลาด ประกอบกันหลายสาเหตุ
ทำให้ขายยังไงก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
จนถึงขนาดตัดพ้อว่า สักวันคงต้องปิดกิจการ เพราะไม่น่าจะไปไหว แต่ติดอยู่ตรงที่
เลิกแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไรต่อ

ผมฟังแล้วรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก...เสียงเจ้าของร้านแกก็ฟังดูหดหู่ตอนเล่า
ผู้จัดการร้านชุดนักเรียนตราสมอย่านบางลำภูก็บอกถึงความรู้สึก ตอนที่ลูกค้าเก่าแก่ที่ซื้อกันมานาน
มาบอกแกว่าจะไม่ซื้อที่ร้านแกแล้ว เพราะที่ห้างถูกกว่า แถมมีที่จอดรถสะดวกสบาย
อู้ยยย...ประโยคแบบนี้ คนที่ผูกพันกับร้านมานาน เจอแบบนี้เข้าไปก็อึ้งแดกสิครับ
แต่ผมว่าเฮียแกคงรู้สึกหนักหน่วงกว่านี้เยอะ

ข่าวนี้เป็นการสะท้อนร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้มีทุนอะไรมากมาย ขายได้ไปวันๆ เปิดร้านมานานเป็นยี่สิบปี แต่ต้องมาเจอพวกทุนต่างชาติที่มีระบบการจัดการที่เรียกได้ว่าจ๊าบกว่ามาก ข่มเหงรังแก แถมไอ้โลตัส
มันยังมีแผนคิดจะขยายสาขาไปทุกที่ทั่วประเทศ โดยไม่สนใจร้านค้าปลีกย่อยๆ
ที่ไม่ว่ายังไงก็แพ้พวกมันอยู่ดี ต้องตายตกตามกันไป
ความจริงโทษไอ้โลตัสก็ไม่ถูก แต่ต้องโทษไปที่รัฐบาล ที่ไม่ว่ากี่ยุคมาก็ไม่เคยมีมาตรการ
ช่วยเหลือประชาชน พ่อค้าแม่ค้าคนไทยอย่างจริงจัง




Published on May 7, 2008 p.4A
The Nation